วันหยุดยาว 3 ช่วงในปี 2025 กระตุ้นการท่องเที่ยวไทย

holiday


นักท่องเที่ยวไทยจะได้รับวันหยุดราชการพิเศษเพิ่มอีก 3 วันในปีหน้า จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมปี 2025 ให้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยว วันนี้ ByteHR ผู้นำด้านโปรแกรมสำหรับ HR จะมาอัปเดตให้ข่าวล่าสุดให้ทุกคนได้เตรียมตัวกันกับการประกาศวันหยุดยาวซึ่งเป็นแผนของรัฐบาลในการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร เปิดเผยว่า วันที่ 2 มิถุนายน วันที่ 11 สิงหาคม 2025 และวันที่ 2 มกราคม 2026 ได้ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

นายภูมิธรรมกล่าวว่า วันหยุดพิเศษเพิ่มเติมเหล่านี้ได้รับการอนุมัติเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม "มหัศจรรย์ไทยแลนด์ ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2025" (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025) โดยรัฐบาลไทยประกาศวันหยุดยาวพิเศษสำหรับปี 2025 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจัดให้มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง 3 ช่วงสำคัญดังนี้


ช่วงที่ 1: เทศกาลสงกรานต์

- วันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 12-16 เมษายน 2025

- รวม 5 วันต่อเนื่อง

- เป็นช่วงเทศกาลประเพณีไทยที่สำคัญ เหมาะแก่การท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรม


ช่วงที่ 2: วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา

- วันหยุดยาวช่วงเดือนกรกฎาคม 2025

- เป็นโอกาสดีสำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการทำบุญตามประเพณี

- เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝน


ช่วงที่ 3: เทศกาลปีใหม่

- วันหยุดยาวช่วงปลายเดือนธันวาคม 2025 ถึงต้นเดือนมกราคม 2026

- โอกาสสำหรับการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

- คาดว่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวทั่วประเทศ


ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ:

1. กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ

2. สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น

3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

4. เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้พักผ่อนและใช้เวลากับครอบครัว


เคล็ดลับการเดินทางช่วงเทศกาลวันหยุดยาว

1. วางแผนล่วงหน้าและจองตั๋วแต่เนิ่นๆ

   การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม หรือรถโดยสารล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือน จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและได้ที่นั่งหรือห้องพักตามต้องการ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือสงกรานต์


2. เลือกเวลาเดินทางที่เหมาะสม

   หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงวันแรกและวันสุดท้ายของวันหยุด เพราะจะมีการจราจรติดขัดมาก แนะนำให้ออกเดินทางก่อนหรือหลังวันพีคสัก 1-2 วัน และควรออกเดินทางช่วงเช้าตรู่หรือดึก


3. เตรียมเอกสารและอุปกรณ์สำคัญให้พร้อม

   ตรวจสอบบัตรประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญต่างๆ ชาร์จแบตโทรศัพท์และพาวเวอร์แบงค์ให้เต็ม เตรียมยาประจำตัว และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลพื้นฐาน


4. ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเดินทาง

   หากขับรถไปเอง ควรตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อม ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ยาง ไฟส่องสว่าง และระบบเบรก พกอุปกรณ์ฉุกเฉินเช่นยางอะไหล่และเครื่องมือซ่อมรถพื้นฐาน


5. วางแผนเส้นทางและจุดแวะพัก

   ศึกษาเส้นทางและจุดแวะพักล่วงหน้า ดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์เก็บไว้ และควรหาเส้นทางสำรองกรณีเส้นทางหลักมีปัญหา ควรแวะพักทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อลดความเหนื่อยล้า


6. เตรียมอาหารและน้ำดื่ม

   พกขนมและน้ำดื่มติดตัวไว้ระหว่างเดินทาง เพราะร้านอาหารตามทางอาจแออัดมาก และราคาอาจสูงกว่าปกติในช่วงเทศกาล


7. ติดตามสภาพอากาศและข่าวสาร

   เช็คพยากรณ์อากาศและติดตามข่าวสารการจราจรอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนการเดินทางได้อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีปัญหา


8. เผื่อเวลาให้มากพอ

   คำนวณเวลาเดินทางให้มากกว่าปกติอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เพราะอาจเจอการจราจรติดขัดหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด การรีบร้อนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้


9. ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

   ขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น


10. มีประกันการเดินทาง

    ทำประกันการเดินทางเพื่อคุ้มครองอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไกลหรือไปต่างจังหวัด


การประกาศวันหยุดยาวล่วงหน้านี้จะช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ติดตามบทความดีๆ ที่เป็นปนะโยชน์ต่อผู้ประกอบการและพนักงานได้เป็นประจำที่ ByteHR และหากคุณต้องการเริ่มต้นใช้โปรแกรมสำหรับ HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไรและฟังก์ชันต่างๆจะตอบสนองความต้องการใช้งานของบริษัทคุณหรือไม่ ลองปรึกษา ByteHR ได้ฟรีทาง  02 026 3297 หรือติดต่อ sales@byte-hr.com


Khun Sea
เกี่ยวกับผู้เขียน
ซีมีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายกว่า 9 ปี ในด้านทรัพยากรบุคคล การสรรหาบุคลากร และการตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ปัจจุบันเธอกำลังสร้างประสบการณ์การทำงาน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในภาคธุรกิจการบริการ โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเธอในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นวัตกรรมทางการตลาด