สัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลา vs. สัญญาจ้างแบบถาวร: ข้อดีและข้อเสีย

การเลือกประเภทสัญญาจ้างเป็นหนึ่งในการตัดสินใจสำคัญที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บทความนี้ ByteHR จะวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของสัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลา (Fixed-term Contract) และสัญญาจ้างแบบถาวร (Permanent Contract) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด
สัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลา (Fixed-term Contract)
สัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลาคือข้อตกลงการจ้างงานที่มีการระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดอย่างชัดเจน มักใช้สำหรับโครงการเฉพาะ งานตามฤดูกาล หรือการทดแทนพนักงานที่ลาออกชั่วคราว
ข้อดีสำหรับนายจ้าง
ความยืดหยุ่นในการบริหารกำลังคน: สามารถปรับจำนวนพนักงานตามความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง
การควบคุมต้นทุน: ลดภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจไม่แน่นอน
การทดลองงาน: เป็นโอกาสในการประเมินทักษะและความเหมาะสมของพนักงานก่อนตัดสินใจจ้างแบบถาวร
การจัดการโครงการเฉพาะ: เหมาะสำหรับงานที่มีขอบเขตและระยะเวลาที่ชัดเจน
การสิ้นสุดสัญญาที่ง่ายกว่า: มีกระบวนการสิ้นสุดสัญญาที่ชัดเจนเมื่อถึงวันที่กำหนด
ข้อดีสำหรับลูกจ้าง
ประสบการณ์หลากหลาย: โอกาสในการทำงานกับหลายองค์กรและโครงการที่แตกต่างกัน
ความยืดหยุ่นส่วนบุคคล: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอิสระหรือไม่ต้องการผูกมัดระยะยาว
โอกาสในการต่อรอง: สามารถต่อรองเงื่อนไขและค่าตอบแทนใหม่เมื่อมีการต่อสัญญา
เงินเดือนที่สูงกว่า: บางกรณีอาจได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความไม่มั่นคง
โอกาสในการเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำ: หากทำงานได้ดี อาจได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานถาวร
ข้อเสียสำหรับนายจ้าง
ความผูกพันต่อองค์กรต่ำ: พนักงานอาจมีความผูกพันต่อองค์กรน้อยกว่า
อัตราการลาออกสูง: ความเสี่ยงที่พนักงานจะลาออกก่อนสิ้นสุดสัญญาหากพบโอกาสที่ดีกว่า
ต้นทุนการฝึกอบรมสูญเปล่า: การลงทุนในการฝึกอบรมอาจสูญเปล่าเมื่อสัญญาสิ้นสุด
ประสิทธิภาพการทำงาน: อาจได้รับผลกระทบเมื่อใกล้สิ้นสุดสัญญาเนื่องจากความไม่แน่นอน
ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ในหลายประเทศมีกฎหมายจำกัดการต่อสัญญาจ้างชั่วคราวหลายครั้ง
ข้อเสียสำหรับลูกจ้าง
ความไม่มั่นคงในการทำงาน: ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตการทำงาน
สวัสดิการที่น้อยกว่า: อาจได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์น้อยกว่าพนักงานประจำ
การเข้าถึงสินเชื่อยากกว่า: สถาบันการเงินมักพิจารณาความมั่นคงในรายได้
โอกาสในการพัฒนาอาชีพที่จำกัด: อาจมีโอกาสน้อยในการเลื่อนตำแหน่งหรือพัฒนาอาชีพ
ความเครียดจากความไม่แน่นอน: ความกังวลเกี่ยวกับการต่อสัญญาหรือการหางานใหม่
สัญญาจ้างแบบถาวร (Permanent Contract)

สัญญาจ้างแบบถาวรคือข้อตกลงการจ้างงานที่ไม่มีวันสิ้นสุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการยกเลิกโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ข้อดีสำหรับนายจ้าง
ความผูกพันและความภักดีของพนักงาน: พนักงานประจำมักมีความผูกพันต่อองค์กรมากกว่า
การลดต้นทุนการสรรหาและฝึกอบรม: การรักษาพนักงานในระยะยาวช่วยลดต้นทุนเหล่านี้
ความต่อเนื่องและความเชี่ยวชาญ: พนักงานประจำสะสมความรู้และประสบการณ์เฉพาะทาง
วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง: ความสัมพันธ์ระยะยาวช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร
ความน่าเชื่อถือขององค์กร: การมีพนักงานประจำจำนวนมากแสดงถึงความมั่นคงขององค์กร
ข้อดีสำหรับลูกจ้าง
ความมั่นคงในการทำงาน: ความแน่นอนที่มากกว่าเกี่ยวกับอนาคตการทำงาน
สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่า: มักได้รับสวัสดิการที่ครอบคลุมกว่า เช่น ประกันสุขภาพ เงินบำนาญ
โอกาสในการพัฒนาอาชีพ: มีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งและพัฒนาสายอาชีพที่ชัดเจน
การเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายกว่า: สถาบันการเงินมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า
ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: นโยบายที่เป็นมิตรต่อครอบครัวมักมีให้สำหรับพนักงานประจำ
ข้อเสียสำหรับนายจ้าง
ความยืดหยุ่นที่น้อยลง: ยากกว่าในการปรับลดกำลังคนเมื่อความต้องการลดลง
ต้นทุนที่สูงกว่า: ภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว รวมถึงเงินเดือน สวัสดิการ และเงินชดเชย
ความเสี่ยงจากพนักงานที่มีผลงานไม่ดี: อาจยากในการเลิกจ้างพนักงานที่มีผลงานไม่ดี
ความเฉื่อยชาขององค์กร: พนักงานอาจต่อต้านการเปลี่ยนแปลงหรือขาดความกระตือรือร้น
ข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวด: กระบวนการเลิกจ้างที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง
ข้อเสียสำหรับลูกจ้าง
ความยืดหยุ่นในชีวิตส่วนตัวที่น้อยลง: อาจมีข้อจำกัดในการเปลี่ยนงานหรือเส้นทางอาชีพ
โอกาสในการต่อรองที่น้อยลง: การปรับเงินเดือนมักเป็นไปตามนโยบายองค์กร
ความเสี่ยงจากความเบื่อหน่าย: การทำงานในที่เดิมเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ความเบื่อหน่าย
การพึ่งพาองค์กรเดียว: ความเสี่ยงเมื่อองค์กรประสบปัญหาทางการเงิน
ทักษะที่จำกัด: อาจมีโอกาสน้อยในการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย
ข้อพิจารณาทางกฎหมายในประเทศไทย
ในประเทศไทย การจ้างงานทั้งสองรูปแบบมีข้อพิจารณาทางกฎหมายที่สำคัญ
สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา
ต้องเป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น งานตามฤดูกาล งานโครงการ หรืองานชั่วคราว
เมื่อสิ้นสุดสัญญา นายจ้างไม่มีภาระในการจ่ายค่าชดเชยหากไม่ต่อสัญญา
การต่อสัญญาหลายครั้งอาจถูกตีความว่าเป็นการจ้างแบบถาวรโดยปริยาย
สัญญาจ้างแบบถาวร
นายจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด
การเลิกจ้างต้องมีเหตุผลที่เพียงพอและต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
ลูกจ้างมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด
แนวทางการเลือกประเภทสัญญาจ้าง
สำหรับนายจ้าง
พิจารณาลักษณะของงาน: งานที่มีลักษณะเฉพาะหรือชั่วคราวเหมาะกับสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา
วิเคราะห์แผนธุรกิจระยะยาว: หากต้องการความต่อเนื่องและความเชี่ยวชาญ การจ้างแบบถาวรอาจคุ้มค่ากว่า
ประเมินต้นทุนและผลประโยชน์: พิจารณาทั้งต้นทุนทางการเงินและผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กร
สร้างสมดุล: อาจใช้ทั้งสองรูปแบบร่วมกันเพื่อความยืดหยุ่นและความมั่นคง
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย: เพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้อง
สำหรับลูกจ้าง
ประเมินเป้าหมายอาชีพ: สัญญาถาวรเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง สัญญาระยะเวลาเหมาะกับผู้ที่ต้องการประสบการณ์หลากหลาย
พิจารณาสถานการณ์ส่วนตัว: ความต้องการด้านการเงิน สถานะครอบครัว และแผนการในอนาคต
วิเคราะห์อุตสาหกรรม: บางอุตสาหกรรม เช่น ไอที หรือสื่อ การจ้างแบบโครงการอาจเป็นเรื่องปกติ
ประเมินองค์กร: พิจารณาความมั่นคงและชื่อเสียงขององค์กรก่อนตัดสินใจ
อ่านสัญญาอย่างละเอียด: ทำความเข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดก่อนลงนาม
ทั้งสัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลาและสัญญาจ้างแบบถาวรมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกประเภทสัญญาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่ ลักษณะของงาน แผนธุรกิจระยะยาว ความต้องการด้านความยืดหยุ่น และความมั่นคง รวมถึงข้อกำหนดทางกฎหมาย
ในปัจจุบัน หลายองค์กรเริ่มใช้แนวทางผสมผสาน โดยมีทั้งพนักงานประจำและพนักงานสัญญาจ้าง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและความมั่นคง การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละรูปแบบจะช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของตน
ติดตามบทความความรู้เกี่ยวกับภาษี เคล็ดลับและความรู้สำหรับพนักงานและผู้ประกอบการ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ที่ ByteHR หรือ หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้โปรแกรมสำหรับ HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไรและฟังก์ชันต่างๆจะตอบสนองความต้องการใช้งานของบริษัทคุณหรือไม่ ลองปรึกษา ByteHR ได้ฟรีทาง 02 026 3297 หรือติดต่อ sales@byte-hr.com