Flag EnglandFlag Thailand
แท็ก:เคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติงาน HR

ลาคลอด 120 วัน สิทธิใหม่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่HR ต้องรู้

pregnancy


"ลาคลอด 120 วัน" คือสิทธิใหม่ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับล่าสุด ที่เพิ่มวันลาให้กับพนักงานหญิง พร้อมค่าจ้างตามกฎหมาย เพื่อสนับสนุนคุณแม่หลังคลอดและครอบครัวไทย HR ต้องอัพเดทนโยบาย สิทธิประโยชน์ และระบบเงินเดือน เพื่อรองรับการคำนวณสิทธิแบบใหม่ ป้องกันความคลาดเคลื่อนและความเสี่ยงเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน

วันที่ 15 กันยายน 2568 วุฒิสภาได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568

เพิ่มวันลาคลอดจาก 98 วัน เป็น 120 วัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานหญิง และสนับสนุนครอบครัวไทยให้มีเวลาดูแลบุตรในช่วงวัยพัฒนาการที่สำคัญ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ พร้อมความมั่นคงในการทำงานและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป


การลาคลอด 120 วันแบบใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?

กลุ่มที่มีสิทธิ

สิทธิที่ได้รับ

ค่าจ้าง

พนักงานหญิง

ลาคลอดได้สูงสุด 120 วัน

ได้รับค่าจ้าง 60 วัน

พนักงานหญิง (ดูแลบุตรต่อเนื่องกรณีเจ็บป่วย/พิการ)

ลาเพิ่มอีก 15 วัน

ได้รับค่าจ้าง 50%

คู่สมรส (พ่อ/คู่สมรสตามกฎหมาย)

ลาคลอดของคู่สมรส 15 วัน ภายใน 90 วันก่อน/หลังคลอด

ได้รับค่าจ้าง 100%

มิติใหม่ของสวัสดิการครอบครัว

คุณแม่ มีเวลามากขึ้นในการฟื้นตัวและดูแลลูก
พ่อ/คู่สมรส มีส่วนร่วมในการดูแล
ทารก ได้รับการดูแลในช่วงวัยพัฒนาการที่สำคัญ

เพราะ "การคลอดบุตร" ไม่ใช่แค่การลา แต่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของครอบครัว

การที่ HR เข้าใจช่วยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่อบอุ่นและปลอดภัย
และระบบลางานที่ดีจะช่วยให้คนดูแลกันได้โดยไม่กลายเป็นภาระเรื่องเอกสาร


ผลกระทบ

สิ่งที่ต้องทำ

พนักงานลาคลอดนานขึ้น

วางแผนกำลังคนและเตรียมพนักงานทดแทนชั่วคราว

ค่าใช้จ่ายและงบประมาณเปลี่ยนแปลง

ประมาณการงบสวัสดิการล่วงหน้า

โครงสร้างสวัสดิการต้องปรับปรุง

อัพเดทคู่มือพนักงาน/นโยบายให้สอดคล้องกฎหมาย

ระบบ HR/Payroll ต้องคำนวณตามสิทธิใหม่

ปรับระบบให้รองรับการจ่าย 50% / 100% อย่างถูกต้อง

ผลกระทบต่อองค์กรและสิ่งที่ HR ต้องเตรียมการ

1. ปรับปรุงนโยบายและเอกสาร

  • แก้ไขข้อบังคับการทำงาน

  • อัพเดทคู่มือพนักงาน

  • ปรับสัญญาจ้างให้สอดคล้องกฎหมายใหม่

2. ปรับระบบ HR และ Payroll

  • ตั้งค่าระบบเงินเดือนให้รองรับการจ่ายค่าจ้าง 60 วันสำหรับการลาคลอด

  • จัดการระบบติดตามการลาประเภทใหม่ (การลาของคู่สมรสและการลาดูแลบุตร)

  • เตรียมกระบวนการตรวจสอบใบรับรองแพทย์

  • รองรับการคำนวณค่าจ้าง 50% และ 100% อัตโนมัติ


3. วางแผนกำลังคน

  • คาดการณ์จำนวนพนักงานที่อาจใช้สิทธิ

  • เตรียมแผนพนักงานสำรองหรือพนักงานชั่วคราว

  • จัดการโหลดงานให้ทีมที่เหลืออยู่


4. คำนวณงบประมาณ

  • ประมาณการค่าใช้จ่ายค่าจ้างระหว่างการลา

  • วางแผนงบประมาณสวัสดิการล่วงหน้า


5. สื่อสารกับพนักงาน

  • แจ้งสิทธิประโยชน์ใหม่ให้พนักงานทราบ

  • จัดอบรมให้ผู้จัดการและทีม HR เข้าใจกฎหมาย

  • เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่พนักงานอาจมี



pregnancy


คำถามที่พบบ่อย (Q&A)

1) พนักงานที่ยังไม่ครบ 120 วันลาคลอด แต่อยากกลับมาทำงานก่อนครบกำหนด ทำได้หรือไม่?

ตอบ: พนักงานมีสิทธิลาคลอดสูงสุด 120 วัน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิการลาทั้งหมดหากพร้อมกลับมาทำงาน

การกลับมาทำงานก่อนครบกำหนดทำได้ แต่ต้องเป็นความสมัครใจของพนักงานและได้รับความยินยอมจากนายจ้าง


2) เมื่อลาคลอดครบ 120 วันแล้ว แต่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้างเพียง 60 วัน เงินส่วนที่เหลือจะมาจากไหน?

ตอบ: พนักงานจะได้รับค่าชดเชยจากกองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติกองทุนประกันสังคม ปัจจุบันให้ค่าชดเชย 45 วัน แต่สำนักงานประกันสังคมกำลังพิจารณาเพิ่มเป็น 60 วัน รอประกาศเพิ่มเติมจากสำนักงานประกันสังคม


3) กฎหมายเดิมให้ลาคลอด 98 วัน รวมการตรวจครรภ์ 8 วันด้วย เมื่อเปลี่ยนเป็น 120 วัน ยังรวมการตรวจครรภ์อยู่หรือไม่?

ตอบ: การลาตรวจครรภ์ยังรวมอยู่ใน 120 วันเหมือนเดิม


4) คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภริยา แต่มีสูติบัตรหรือใบแสดงการคลอดระบุว่าเป็นบิดา สามารถใช้สิทธิลาคลอด 15 วันเพื่อช่วยภริยาได้หรือไม่?

ตอบ: ได้ ตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนประกันสังคม ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร ทั้งภริยาที่จดทะเบียนและหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างเปิดเผย

ดังนั้น ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเป็นสามีภริยากันโดยพฤตินัย สามารถใช้สิทธินี้ได้


5) หากพนักงานเริ่มลาคลอดก่อนวันที่ 7 ธันวาคม 2568 (วันที่กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้) จะได้รับสิทธิตามกฎหมายใหม่หรือไม่?

ตอบ: หากช่วงเวลาการลาคลอดครอบคลุมวันที่ 7 ธันวาคม 2568 หรือหลังจากวันนั้น พนักงานถือว่าได้รับสิทธิตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่ คือ:

  • สิทธิลาคลอดรวม: 120 วัน

  • ได้รับค่าจ้างระหว่างลาไม่เกิน 60 วัน


6) หากบุตรที่คลอดมาเจ็บป่วยหรือพิการ พนักงานสามารถลาเพิ่มได้หรือไม่ และจะได้รับค่าจ้างอย่างไร?

ตอบ: กฎหมายฉบับใหม่นี้เพิ่มสิทธิให้พนักงานหญิงที่บุตรคลอดมามีอาการเจ็บป่วย พิการ หรือความผิดปกติ สามารถลาดูแลบุตรต่อเนื่องได้สูงสุด 15 วัน โดยต้องมีใบรับรองแพทย์

การจ่ายค่าจ้าง: นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้พนักงานสำหรับการลาดูแลบุตรที่ป่วยในอัตรา 50% ของค่าจ้าง สำหรับวันลานั้น


pregnant


ประโยชน์ของกฎหมายใหม่

สำหรับพนักงาน

  • มีเวลาฟื้นตัวและดูแลบุตรได้เต็มที่

  • คู่สมรสมีส่วนร่วมในการดูแลบุตร

  • มีความมั่นคงในการทำงาน

  • สามารถดูแลบุตรที่มีปัญหาสุขภาพได้อย่างเหมาะสม


 สำหรับนายจ้าง

  • เพิ่มความพึงพอใจและความผูกพันของพนักงาน

  • ลดอัตราการลาออก (Employee Retention)

  • สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดี

  • สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานสากล

สำหรับสังคม

  • ส่งเสริมคุณภาพชีวิตครอบครัวไทย

  • สนับสนุนพัฒนาการของเด็กในช่วงที่สำคัญ

  • ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในการดูแลบุตร


การขยายวันลาคลอดเป็น 120 วัน เป็นก้าวสำคัญสำหรับแรงงานไทย แต่ก็เป็นความท้าทายใหม่สำหรับ HR ทุกองค์กรที่ต้องปรับตัว หากองค์กรมีระบบ HR & Payroll ที่รองรับการคำนวณอัตโนมัติ การจัดการสิทธิประโยชน์และงบประมาณจะง่ายขึ้นมาก และสร้าง Employee Experience ที่ดีได้จริง

หากองค์กรของคุณต้องการระบบ HR & Payroll ที่คำนวณสิทธิการลาและค่าจ้างได้อัตโนมัติตามกฎหมายใหม่ ByteHR พร้อมช่วยให้การจัดการง่ายขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานของคุณ หรือถ้าคุณอยากเริ่มใช้โปรแกรม HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มยังไงดี หรือฟังก์ชันต่างๆ จะตอบโจทย์บริษัทคุณมั้ย ลองปรึกษา ByteHR ฟรีได้ที่ 02 026 3297 หรือส่งอีเมลมาที่ sales@byte-hr.com

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากมีข้อสงสัยเฉพาะกรณี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายแรงงาน








Sea Chonthicha
เกี่ยวกับผู้เขียน
ซีมีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายกว่า 9 ปี ในด้านทรัพยากรบุคคล การสรรหาบุคลากร และการตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ปัจจุบันเธอกำลังสร้างประสบการณ์การทำงาน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในภาคธุรกิจการบริการ โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเธอในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นวัตกรรมทางการตลาด