
สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนบังคับใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 1 ตุลาคม
หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก "กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง" หรือ Employee Welfare Fund วันนี้ ByteHR ก็เลยอยากมาแนะนำให้รู้จักกัน!
กองทุนตัวนี้เป็นระบบประกันใหม่ที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยตั้งใจให้เป็นตัวช่วยสร้างความมั่นใจทางการเงินให้กับพนักงานทุกคน เวลาที่ออกจากงาน เกษียณ หรือในกรณีที่เสียชีวิต
ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญมากเลยในการดูแลคนทำงานไทยให้มีหลักประกันที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่
กิจการใดบ้างที่ต้องเข้าร่วม
กิจการที่ต้องบังคับเข้าร่วม
บริษัทหรือกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องลงทะเบียนลูกจ้างเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เว้นแต่จะมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสวัสดิการที่เทียบเคียงได้อยู่แล้ว
กิจการที่ได้รับการยกเว้น
กิจการที่ไม่เข้าข่ายบังคับ ได้แก่
งานเกษตรกรรม และงานประมง
งานรับใช้ในบ้านที่มิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
กิจการที่ไม่แสวงหากำไร
โรงเรียนเอกชน (เฉพาะผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา)
กิจการที่นายจ้างจัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสวัสดิการอื่นๆ สำหรับกรณีลูกจ้างลาออกหรือเสียชีวิต
อัตราการจ่ายเงินเข้ากองทุน
ช่วงเริ่มต้น (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2573)
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนในอัตรา 0.25% ของค่าจ้างต่อฝ่าย
ช่วงที่สอง (1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป)
อัตราการจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.5% ของค่าจ้างต่อฝ่าย
ตัวอย่างการคำนวณ: หากลูกจ้างได้รับค่าจ้าง 20,000 บาทต่อเดือน
ช่วงแรก (2568-2573): ลูกจ้างจ่าย 50 บาท + นายจ้างจ่าย 50 บาท = รวม 100 บาท
ช่วงที่สอง (2573 เป็นต้นไป): ลูกจ้างจ่าย 100 บาท + นายจ้างจ่าย 100 บาท = รวม 200 บาท
หน้าที่ของนายจ้าง
การลงทะเบียน
นายจ้างมีหน้าที่ลงทะเบียน ส่งข้อมูลภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยส่งครั้งแรกภายใน 15 ตุลาคมนี้
การนำส่งเงิน
นายจ้างต้องหักเงินจากค่าจ้างของลูกจ้างและนำส่งเงินทั้งส่วนของลูกจ้างและส่วนสมทบของนายจ้างภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
การจัดเก็บข้อมูล
นายจ้างต้องเตรียมและรักษาข้อมูลลูกจ้างให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน รวมถึงชื่อ สัญญาจ้าง และรายละเอียดเงินเดือน
สิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง
การถอนเงิน
เงินที่สะสมในบัญชีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะจ่ายให้กับลูกจ้างเมื่อออกจากงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในกรณีที่เสียชีวิต

การยื่นเรียกร้อง
ลูกจ้างที่ต้องการเรียกร้องผลประโยชน์จากกองทุนต้องยื่นคำขอเป็นทางการต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
จำนวนเงินที่ได้รับ
จำนวนเงินสงเคราะห์ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีการสมทบเงินเข้ากองทุน และคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด
โทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม
สำหรับนายจ้าง
นายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของกองทุนอาจเผชิญกับบทลงโทษหลายประการ ได้แก่
ค่าปรับ 5% ต่อเดือนสำหรับเงินที่ค้างชำระ
ค่าปรับสูงสุด 10,000 บาท
จำคุกสูงสุด 6 เดือน
กรณีร้ายแรงหรือไม่ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง กรรมการบริษัทอาจต้องรับผิดชอบโดยตรง
การบริหารจัดการกองทุน
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะถูกจัดตั้งโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และบริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนที่ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตัวแทนนายจ้างและลูกจ้างอย่างละ 5 คน
การเตรียมตัวสำหรับนายจ้าง
ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ
ตรวจสอบสถานะ: ประเมินว่ากิจการต้องเข้าร่วมกองทุนหรือไม่
ทบทวนสวัสดิการเดิม: ตรวจสอบสวัสดิการและแพ็คเกจค่าตอบแทนปัจจุบัน เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เตรียมการลงทะเบียน: รวบรวมข้อมูลลูกจ้างให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
วางแผนงบประมาณ: จัดสรรงบประมาณสำหรับการสมทบเงินเข้ากองทุน
สื่อสารกับพนักงาน: แจ้งข้อมูลและความเปลี่ยนแปลงให้พนักงานทราบ
มีระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่ตุลาคม 2568 ถึงกันยายน 2573 ให้จดจำไว้ และให้แน่ใจว่าบริษัทของคุณเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราการสมทบในช่วงเวลานี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับ
ข้อสงสัยที่พบบ่อย
กรณีมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว
กรณีกิจการที่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่มีลูกจ้างบางรายไม่ได้เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อกฎหมายกองทุนสงเคราะห์เริ่มใช้บังคับในปี 2568?
ในกรณีนี้ นายจ้างต้องพิจารณาลงทะเบียนลูกจ้างที่ไม่ได้เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
การสมัครใจเข้าร่วม
กฎหมายไม่ได้บังคับให้กิจการที่ได้รับยกเว้นต้องเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่หากลูกจ้างต้องการสมัครใจเป็นสมาชิกเอง ให้นายจ้างยื่นแบบ สกล.3/1 เพื่อขอขึ้นทะเบียนได้
บทสรุป
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่จะมาใช้จริงๆ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 นี่ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยสำหรับระบบประกันสังคมของเรา เป้าหมายหลักก็คือให้คนทำงานมีความมั่นใจทางการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
สำหรับเจ้าของกิจการหรือผู้บริหาร การเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่ต้องทำตามกฎหมายเท่านั้น แต่มันเป็นโอกาสดีๆ ที่จะแสดงให้พนักงานเห็นว่าเราใส่ใจในสวัสดิการของพวกเขาจริงๆ การลงมือทำตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องโดนปรับ ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และที่สำคัญคือจะทำให้พนักงานเชื่อใจและไว้วางใจเรามากขึ้น
ติดตามบทความความรู้เกี่ยวกับภาษี เคล็ดลับและความรู้สำหรับพนักงานและผู้ประกอบการ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ที่ ByteHR หรือ หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้โปรแกรมสำหรับ HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไรและฟังก์ชันต่างๆจะตอบสนองความต้องการใช้งานของบริษัทคุณหรือไม่ ลองปรึกษา ByteHR ได้ฟรีทาง 02 026 3297 หรือติดต่อsales@byte-hr.com