เราจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

เราจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

รูปแบบการทำงานหนักหรือยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนมักได้รับการยกย่องว่าเป็นวิธีเดียวที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นผู้นำ เช่น Elon Musk ซีอีโอ ของ Tesla และ Space X ซึ่งเขาเคยทวีตว่าไม่มีใครเปลี่ยนโลกที่ทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตัวเขาเองไม่ค่อยได้นอน หรือใช้เวลากับลูก ๆ ของเขามากนัก ส่วน Tim Cook ซีอีโอของ Apple มักเช็คอีเมลก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และมหาเศรษฐี Mark Cuban ทำงานจนถึงตี 2 เพื่อเปิดตัวธุรกิจแรกและไม่ได้พักร้อนเป็นเวลาเจ็ดปี

แต่ว่าสูตรการทำงานนี้ จะให้ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จเช่นเดียวกันกับทุกคนจริง ๆ หรือ?

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ กลุ่มผู้บริหารของผู้นำองค์กรระดับโลกได้แบ่งปันแนวคิดใหม่ ๆ ในการทำงานว่าเราสามารถมีเวลาให้งาน ครอบครัวและชีวิตส่วนตัวได้อย่างมีความสุข วันนี้เรามีเรื่องราวของผู้นำสามท่านที่จะนำมาเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า คุณสามารถเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร


Jessica DeGroot ผู้ก่อตั้งสถาบัน ThirdPath องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้สร้างสมดุลระหว่างงานและเรื่องส่วนตัวในชีวิตได้จัดตั้งกลุ่มสำรวจซึ่งรวบรวมผู้นำระดับสูงทั้งจาก สำนักงานกฎหมาย หน่วยงานบริการภาครัฐและการเงินธุรกิจขนาดเล็กและ บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 เช่น Booz Allen Hamilton, Eli Lilly, Marriott, IBM และ Ford เพื่อหาคำตอบในโจทย์สุดท้าทายที่ว่า “จริงหรือที่ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้นำ” กลุ่มผู้นำได้ร่วมอภิปรายถึงวิธีที่พวกเขาจัดการความสมดุลในชีวิตการทำงานเมื่อเผชิญกับเหตุฉุกเฉินในการทำงานหรือในชีวิต – และบางครั้งทั้งสองอย่างพร้อมกัน

DeGroot ได้รวบรวมและวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น เธอสังเกตเห็นว่าผู้นำรุ่นบุกเบิกกลุ่มหนึ่งสามารถจัดการลาพักร้อน ปิดจ๊อบงาน พร้อมติดต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ และกลับมาสดชื่นทุกครั้งทำงาน ซึ่งกลยุทธ์ของพวกเขาคือ “การวางแผนวันหยุด” แทนที่จะอยู่ในโหมดพร้อมตอบอีเมล การประชุมฉุกเฉินหรือ พร้อมรับสายตลอดเวลา ซึ่ง DeGroot พบว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่พวกเขาได้ค้นพบ ได้แก่

  • การวางแผนวันหยุดพักผ่อนตามฤดูกาล

  • มอบหมายและทบทวนการทำงานเป็นทีมที่สำคัญสองสัปดาห์ก่อนออกเดินทาง

  • การสร้างรายการ “สิ่งที่รอได้” หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันหยุด และ

  • หลีกเลี่ยงการจัดตารางการประชุมและโทรศัพท์หนึ่งวันก่อนและหนึ่งวันหลังวันหยุดเพื่อให้ความสำคัญกับลำดับความสำคัญที่สำคัญ


สำหรับผู้นำที่ต้องการจะปรับสมดุลชีวิต ภายใต้แรงกดดันจากงาน พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะด้านความสัมพันธ์ 3 ประการ ได้แก่

  • การเรียนรู้ที่จะทำงานให้แตกต่างกับทีมในที่ทำงาน


  • วางแผนกับครอบครัวและให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก
  • พร้อมเปลี่ยนความคิดของตัวเองว่าสามารถปรับสมดุลในชีวิตได้จริง
เราจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร


ตัวอย่างเช่น Ivan Axelrod วัย 72 ปีซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของ บริษัท บริหารการเงินใน LA ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาในการทำงานไต่เต้าขึ้นไปจนถึงระดับสูง จนกระทั่งเขากลายเป็นปู่ของหลาน ๆ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ด้วยว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเมื่อเขายังเด็กและเขาก็ไม่เคยรู้จักพ่อแม่ของตัวเองเลย เขาจึงต้องการสิ่งที่แตกต่างสำหรับหลานของเขาเอง โดยเขาได้เริ่มกระจายความรับผิดชอบที่แตกต่างให้พนักงานอย่างมีระบบ เพื่อให้พนักงานได้พัฒนาได้เร็วขึ้น และตัวเขาเองมีเวลาช่วยดูแลหลาน ๆ แม้ช่วงแรกพนักงานดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ Ivan ก็ได้บ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนมีความยืดหยุ่นในการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ โดยเพิ่มการทำงานที่มีระบบให้ทำงานที่บ้านได้เพิ่มขึ้น เปิดออฟฟิศแถวที่คนอยู่อาศัยเพื่อลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายการเดินทางมาทำงาน ส่งผลให้มีอัตราการลาออกที่ลดลง พร้อมค่าใช้จ่ายการจ้างงานและเทรนนิ่งพนักงานที่ลดลงตามไปด้วย



“บางสิ่งในชีวิตสำคัญกว่างาน”

เราจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

Will Rowe อายุ 59 ปีครูใหญ่ที่ Booz Allen Hamilton ในวอชิงตันดีซีและ Teresa ซึ่งเป็นกุมารแพทย์ภรรยาของเขาเริ่มต้นการแต่งงานด้วยคำสาบานที่สัญญาว่าจะเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันและให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก ทั้งคู่ต้องการอาชีพที่มีความสำคัญ แต่ไม่ใช่อาชีพที่หนักหน่วงจนเกินไป เพราะพ่อแม่ของ Rowe เป็นคนบ้างานซึ่งแทบไม่ได้เจอหน้ากันและจบด้วยหย่าร้างกันในที่สุด ดังนั้นเมื่อ Rowe และภรรยาเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเอง ทั้งคู่จึงมุ่งมั่นที่จะใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด โดยจะทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ Teresa สามวัน และให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลลูกสองคนของพวกเขาหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ตารางเวลาที่ยืดหยุ่นทำให้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนละแวกใกล้เคียง เขายังกล้าที่จะขอเจ้านายเพื่อลาหยุดหกเดือนเพื่อเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว ลูก ๆ ของเขาเติบโตไปพร้อม ๆ กับที่เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในบริษัท เขายังทำงานในระบบที่ยืดหยุ่น จัดการระหว่างการประชุมงานทางโทรศัพท์และรับสายครูที่โรงเรียนลูก เพื่อให้เขาจัดการได้ทั้งเรื่องของลูกค้าและครอบครัว Rowe จะนั่งลงรหัสสีบนปฏิทินทุกสัปดาห์แยกเรื่องงานและครอบครัวไว้ หากเขาพบว่างานบางอย่างขัดกับเวลาที่เขาแบ่งไว้ให้ครอบครัวเขาก็จะจัดการโยกเวลา หรือจ่ายงานไปส่วนอื่น เขากล่าวว่า

เราจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร


Michelle Hickox เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในเท็กซัส ในปี 2004 เธออยู่ในจุดตัดในอาชีพของเธอ ด้วยเธอรักงานของเธอและต้องการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท แต่เธอก็ต้องการรักษาสมดุลในชีวิตครอบครัวเช่นกัน ทว่าแบบอย่างที่เธอเห็นในบริษัทคือ ผู้ชายที่มีภรรยาดูแลที่บ้านและผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพี่เลี้ยงเด็กตลอดเวลาซึ่งทุกคนทำงานตลอดเวลาและไม่ค่อยได้เห็นครอบครัวของพวกเขา แต่เธอไม่ต้องการทำแบบนั้น

เมื่อลูกสาวคนโตของเธออายุห้าขวบ เธอเจรจาตารางงานลงเหลือ 80% และใช้เวลา 11 ฤดูร้อนติดต่อกันในขณะช่วงลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นและยังคงเดินหน้าในฐานะหุ้นส่วนของบริษัท ตอนนี้เธอเป็น CFO ของ Independent Bank ใน McKinney Texas เธอเชื่อว่าส่วนสำคัญของการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นคือ ต้องพูดในสิ่งที่ต้องการและลงมือทำ เพราะถึงคนอื่นอาจจะไม่เคยทำได้มาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย กว่าที่เธอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เธอหวัง ปัจจุบันนี้เธออายุ 51 ปี และได้วางระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ให้พนักงานสามารถทำงานทางไกลได้ เน้นประสิทธิผลของงานมากกว่าเวลาเข้า-ออกของพนักงาน เธอเปลี่ยนวัฒนธรรมของธนาคารจากที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินชดเชยสำหรับการลากิจครอบครัว ก็เปลี่ยนให้มี ซึ่งเธอได้กล่าวเอาไว้ว่า

“ฉันไม่คิดว่าคุณต้องทำงานเหมือนคนบ้าเพื่อก้าวไปข้างหน้า ฉันแค่คิดว่าในช่วงเวลาที่คุณทำงาน คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพ”

ตอนนี้พวกเราหลายคนติดอยู่ในวังวนของการโหมทำงานหนักเกินไปเพราะนั่นคือทั้งหมดที่เราเห็นจากผู้นำของเรา แบบอย่างข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เราสามารถกำหนดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปได้

เราอาจลดการเสพวิถีการทำงานของซีอีโอที่ไม่สนใจด้านมนุษยธรรม ที่ให้ความสำคัญแต่นวัตกรรมและผลผลิตทางธุรกิจ และหันไปดูแบบอย่างของซีอีโอคนอื่นอย่าง David Solomon หัวหน้าคนใหม่ของ Goldman Sachs ที่แบ่งเวลาไปเรียนโยคะกับลูกสาวได้ และพยายามลดชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไปของพนักงาน และโทรหาเพื่อนร่วมงานเมื่อพวกเขาทำงานมากเกินไปเพื่อบอกให้หยุดและลงบันทึกเป็นประจำ หรือวิธีที่ผู้นำอย่าง Susan Wojcicki ซีอีโอของ YouTube ที่สามารถบริหารบริษัท มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์และยังคงกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารค่ำเวลา 18.00 น. กับลูก ๆ ของเธอ
บางทียิ่งเราได้ยินเรื่องราวของผู้นำเช่นนี้มากเท่าไหร่ กระแสในโลกของการทำงานก็อาจเปลี่ยนไป ทำให้ผู้คนหันมาเริ่มเชื่อว่าพวกเขาก็สามารถเป็นผู้นำพร้อมๆกับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

« บริษัทสามารถสนับสนุนพนักงาน Gen Z ได้อย่างไร7 คำถามที่ควรถามตัวเองหากคุณคิดจะเปลี่ยนงานในช่วง COVID-19 »