5 แนวโน้มด้าน HR ที่สำคัญสำหรับปี 2025: จาก AI สู่ความท้าทายในสถานที่ทำงาน

workplace

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2025 ผู้นำด้านทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ก็ต่างคาดการณ์ถึงแนวโน้มสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโลกแห่งการทำงาน ท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วันนี้ ByteHR ผู้นำด้านโปรแกรม HR และ โปรแกรมทำเงินเดือน มาพร้อมกับ 5 แนวโน้มสำคัญที่องค์กรควรเตรียมพร้อมรับมือเพื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025


1.วิกฤตด้านทรัพยากรบุคคล

การขาดแคลนแรงงานจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมเฉพาะทาง องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาระบบการฝึกอบรมภายในและเร่งการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น นำระบบ Learning Management System (LMS) มาใช้เพื่อสร้างคลังความรู้ออนไลน์และจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้แบบโมดูล พร้อมทั้งจัดโปรแกรมพี่เลี้ยงเพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะแบบตัวต่อตัว 

สำหรับการนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพนั้น สามารถประยุกต์ใช้ในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น ระบบคัดกรองใบสมัครงานอัตโนมัติและการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงาน ในด้านการปฏิบัติงาน มีการใช้ Chatbot ให้ความช่วยเหลือพนักงานและระบบอัตโนมัติสำหรับงานประจำ ด้านการบริการลูกค้า ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมและให้บริการผ่าน Chatbot ตลอด 24 ชั่วโมง 

ส่วนด้านการวางแผนและการคาดการณ์ ใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงด้านความปลอดภัย มีระบบตรวจจับการทุจริตและป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วย AI

 

อ่านเพิ่มเติม: การปฏิวัติของ AI ในการบริหารทรัพยากรบุคคล: แยกแยะความจริงและข่าวลือ

ทั้งนี้ การนำระบบเหล่านี้มาใช้ต้องคำนึงถึงการฝึกอบรมพนักงาน การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน และการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง


2. บทบาทของภาคเอกชนในด้านสวัสดิภาพของพนักงาน

บริษัทชั้นนำจะต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการดูแลสวัสดิภาพของพนักงาน นอกเหนือจากสวัสดิการพื้นฐาน องค์กรสามารถดูแลสวัสดิภาพพนักงานได้หลากหลายด้าน โดยในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ สามารถจัดให้มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงครอบครัว บริการตรวจสุขภาพประจำปีแบบครบวงจร ศูนย์ออกกำลังกายและโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ บริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต และห้องพยาบาลพร้อมแพทย์ประจำสำนักงาน 

ในด้านการเงิน มีโครงการเงินออมเพื่อเกษียณอายุแบบสมทบ สวัสดิการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โปรแกรมให้คำปรึกษาด้านการวางแผนการเงิน ประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุวงเงินสูง และกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉิน สำหรับด้านการพัฒนาตนเอง มีทุนการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น งบประมาณสำหรับการอบรมตามความสนใจ โปรแกรมพัฒนาทักษะส่วนบุคคล ระบบพี่เลี้ยงและโค้ชชิ่ง และการสนับสนุนการเรียนภาษาต่างประเทศ 

ด้านความสมดุลชีวิต มีนโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่น วันลาพักร้อนที่มากกว่ากฎหมายกำหนด สิทธิลาเพื่อดูแลครอบครัว บริการรถรับส่งพนักงาน และห้องทำงานพร้อมพื้นที่พักผ่อนที่เอื้อต่อสุขภาพ 

รวมถึงด้านครอบครัว มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน สวัสดิการค่าเล่าเรียนบุตร กิจกรรมสำหรับครอบครัวพนักงาน การประกันสุขภาพที่ครอบคลุมครอบครัว และทุนการศึกษาสำหรับบุตรพนักงาน ซึ่งองค์กรที่สามารถจัดสวัสดิการเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุมและตรงความต้องการ จะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ในระยะยาว ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพและความยั่งยืนขององค์กร


3. AI ในฐานะผู้ร่วมงาน

AI จะเปลี่ยนจากการเป็นเพียง "เครื่องมือ" สู่การเป็น "ผู้ร่วมงาน" ที่สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI และระบบอัตโนมัติ องค์กรจะต้องพัฒนากรอบการทำงานใหม่สำหรับการจัดการทีมแบบผสมผสานนี้

การพัฒนากรอบการทำงานใหม่สำหรับการทำงานร่วมกับ AI ควรเริ่มจากการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ โดยแบ่งงานระหว่างมนุษย์และ AI ตามจุดแข็งของแต่ละฝ่าย กำหนดขอบเขตการตัดสินใจของ AI อย่างชัดเจน และวางระบบการตรวจสอบผลลัพธ์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับ AI โดยฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจหลักการทำงาน การวิเคราะห์ผลลัพธ์ และข้อจำกัดของ AI 

นอกจากนี้ ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่ปรับทัศนคติให้มองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริม ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน พร้อมทั้งปรับระบบการประเมินผลโดยพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ที่เหมาะสม ประเมินทักษะการใช้งาน และให้รางวัลสำหรับนวัตกรรมในการใช้ AI สำหรับด้านการจัดการความเสี่ยงและจริยธรรม ต้องกำหนดแนวทางจริยธรรม สร้างระบบตรวจสอบความโปร่งใส และพัฒนาแนวทางการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการพัฒนาช่องทางการสื่อสารและประสานงานระหว่างทีมมนุษย์และระบบ AI สร้างระบบรายงานและติดตามงานที่เหมาะสม 

โดยองค์กรต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง พร้อมปรับเปลี่ยนตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความต้องการของทีม เพื่อให้การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


4. ความแตกแยกในที่ทำงาน

ความขัดแย้งทางสังคมจะส่งผลกระทบต่อสถานที่ทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นด้านความหลากหลายและการเมือง องค์กรต้องพัฒนานโยบายที่ครอบคลุมและสร้างช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยสำหรับพนักงาน

การจัดการความแตกแยกในที่ทำงานควรเริ่มจากการพัฒนานโยบายด้านความหลากหลาย โดยกำหนดนโยบายการไม่เลือกปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างแนวทางปฏิบัติในการเคารพความแตกต่าง จัดทำมาตรการป้องกันการคุกคามทุกรูปแบบ และพัฒนาระบบการร้องเรียนที่เป็นธรรมและโปร่งใส ควบคู่กับการสร้างช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัย เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็น สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนแบบไม่เปิดเผยตัวตน และจัดให้มีที่ปรึกษาด้านความขัดแย้งในองค์กร นอกจากนี้ ต้องสร้างวัฒนธรรมการเคารพซึ่งกันและกันผ่านการจัดอบรมเรื่องความหลากหลาย สร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างกลุ่ม และยกย่องพฤติกรรมที่สร้างความสามัคคี พร้อมทั้งพัฒนาทักษะผู้บริหารในการจัดการความขัดแย้ง การสื่อสารในสถานการณ์ละเอียดอ่อน และการเป็นผู้นำที่เป็นกลางและยุติธรรม รวมถึงการจัดการสภาพแวดล้อมการทำงานให้เอื้อต่อการปฏิสัมพันธ์ สร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้าง และพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองความต้องการทุกกลุ่ม โดยการดำเนินการเหล่านี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีการประเมินผลเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับทุกคน


5. การเปลี่ยนแปลงจากงานฟรีแลนซ์สู่งานประจำ

แรงกดดันทางเศรษฐกิจอาจผลักดันให้เหล่าฟรีแลนซ์ กลับสู่การจ้างงานแบบดั้งเดิม องค์กรต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความคาดหวังด้านความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระของคนกลุ่มนี้

การปรับตัวขององค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากฟรีแลนซ์สู่งานประจำ ควรเริ่มจากการจัดรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยเปิดโอกาสให้ทำงานแบบไฮบริด กำหนดชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น และอนุญาตให้จัดการตารางงานได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งปรับระบบการจ้างงานให้มีตำแหน่งงานแบบโครงการ เปิดโอกาสให้รับงานภายนอกได้ และพัฒนาระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามผลงาน 

นอกจากนี้ ต้องสร้างระบบสนับสนุนโดยจัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีสำหรับการทำงานระยะไกล พัฒนาระบบการสื่อสารออนไลน์ และจัดตั้งทีมสนับสนุนด้านเทคนิค ควบคู่กับการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าเวลาการทำงาน ส่งเสริมความเป็นอิสระในการตัดสินใจ และเคารพความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงการพัฒนาทักษะการบริหารโดยฝึกอบรมผู้บริหารในการจัดการทีมแบบยืดหยุ่น พัฒนาระบบการประเมินผลงานที่เหมาะสม และเรียนรู้การสร้างแรงจูงใจในรูปแบบใหม่ 

โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการรับฟังความคิดเห็นจากพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การปรับตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย


บทบาทของ HR จะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าที่เคย องค์กรที่จะประสบความสำเร็จคือองค์กรที่สามารถผสมผสานการใช้ข้อมูลเชิงลึกกับแนวทางที่เน้นความเป็นมนุษย์ การสร้างความไว้วางใจ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และสร้างคุณค่าให้กับทุกฝ่ายจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในปี 2025


ติดตามบทความทันโลก ทันกระแสที่จะนำความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยกรบุคคลได้ที่ ByteHR หรือ หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้โปรแกรมสำหรับ HR  แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไรและฟังก์ชันต่างๆจะตอบสนองความต้องการใช้งานของบริษัทคุณหรือไม่ ลองปรึกษา ByteHR ได้ฟรีทาง  02 026 3297 หรือติดต่อ sales@byte-hr.com


Khun Sea
เกี่ยวกับผู้เขียน
ซีมีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายกว่า 9 ปี ในด้านทรัพยากรบุคคล การสรรหาบุคลากร และการตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ปัจจุบันเธอกำลังสร้างประสบการณ์การทำงาน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในภาคธุรกิจการบริการ โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเธอในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นวัตกรรมทางการตลาด